เช้าตรู่...
ที่สะพานปลา จังหวัดระนอง บรรยากาศคึกคักจ้อกแจ้กจอแจทั้งจากชาวประมงที่เอาเรือเข้ามาจอดเต็มไปหมด และบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่มาเลือกซื้อปลา
ข้างเรือใหญ่ที่จอดอยู่ มีเรือประมงลำเล็กของพิภัชจอดเบียดอยู่ บนเรือ หวินกับแหว่ง ช่วยกันลำเลียงลังใส่ปลาขึ้นไปบนสะพานปลา
“วันนี้ได้ปลาเยอะนะพี่ภัช คงแบ่งกันได้หลายเลย” หวินเดินเข้าไปพูดกับแหว่ง
“แล้วไม่ใช่ไปลงกับขวดเหล้าหมดล่ะไอ้หวิน” พิภัชที่กำลังยกลังปลามาให้หวินกับแหว่งดักคอ “เก็บเงินไว้ให้ลูกเมียใช้บ้าง เมียจะคลอดเดือนหน้าไม่ใช่เหรอ”
“ดูพี่ภัชเป็นตัวอย่าง รักลูกรักเมีย ลูกชายโตมา เลยเอาถ่านแบบไอ้เพลิงนี่ไง” แหว่งพูดพลางมองไปที่หัวเรือ ที่เพลิง หรือเพลิงฤทธิ์ ลูกชายของพิภัชกำลังก้มๆเงยๆ เก็บข้าวของบนเรืออยู่
พิภัชมองไปที่ลูกชาย ยิ้มภูมิใจแล้วหันไปยกลังปลา แต่แล้วเกิดอาการหน้ามืดซวนเซเกือบจะล้ม เพลิงรีบวิ่งมาช่วยรับลังปลาจากพ่อ ถามอย่างเป็นห่วง
“พ่อ เป็นอะไรหรือเปล่า นั่งพักก่อนเถอะ เดี๋ยวผมช่วยน้าหวินกับน้าแหว่งเอง”
พิภัชพยักหน้า ขอบใจลูก เพลิงจึงยกลังปลาไปให้หวินกับแหว่ง แต่ขณะพี่พิภัชถอยไปนั้น เหยียบอวนจนลื่นไถลตกเรือ ลากเอาอวนติดขาลงไปด้วย เพลิงได้ยินเสียงตกน้ำก็หันมองอย่างตกใจ
“พ่อ!!”
เสียงร้องของเพลิงทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆนั้นพากันมามุงดู บอกต่อๆกันว่ามีคนตกน้ำ...มีคนตกน้ำ
ooooooo
พิภัชตกลงในน้ำ จมดิ่งลงไปเพราะถูกอวนพันตัวไว้ พยายามที่จะช่วยตัวเองแต่ยิ่งดิ้นก็เหมือนยิ่งถูกอวนรัด
เพลิง หวิน และแหว่งชะโงกมองหาพิภัช หวินบ่นอย่างเป็นห่วงว่าทำไมไม่ขึ้นมาสักที เพลิงที่ร้อนใจอยู่แล้ว กระโดดลงไปทันที
เพลิงว่ายเข้าไปหาพ่อที่กำลังพยายามแกะอวนอย่างยากลำบากอยู่ อากาศเริ่มหมด เขาเริ่มอ่อนแรงและสำลัก ทำท่าจะหมดสติ เพลิงรีบว่ายเข้าไปหาพ่อเอามือเปิดปากพ่อแล้วอัดอากาศใส่ปอด อึดใจหนึ่ง ร่างของพิภัชก็เริ่มมีการตอบสนองเมื่อได้อากาศจากเพลิง
ภาวะคับขันเช่นนี้ เพลิงตัดสินใจหยิบมีดที่เหน็บเอวตัดอวนที่พันตัวพ่อ แข่งกับอากาศที่กำลังจะหมดลงอีกครั้ง...
ครู่หนึ่ง ร่างของพิภัชโผล่ขึ้นมา เขาฮุบอากาศหายใจเหนื่อยหอบ หวินกับแหว่งรีบช่วยดึงร่างเขาขึ้นเรือ แล้วมองหาเพลิง แต่ไม่เห็นวี่แววก็ยิ่งเป็นห่วง จนครู่หนึ่งเสียงคนโผล่จากน้ำอีกด้านของเรือ หวินกับแหว่งหันมอง เห็นเพลิงกำลังดึงร่างขึ้นเรืออย่างทุลักทุเล พอขึ้นเรือ เขาถามหวินกับแหว่ง
“พ่อเป็นไงมั่ง”
“มะ...ไม่เป็นไรลูก” พิภัชตอบทั้งที่ยังไอ แหว่งบ่นว่า ร้อยวันพันปีไม่เคยเป็นแบบนี้ ดูท่าชักจะยังไงอยู่นะ พิภัชรีบบอกว่า “ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า แล้วพวกแกก็ห้ามบอกเรื่องนี้กับแม่ผ่องเขาเป็นอันขาด” แล้วหันไปบอกเพลิง “อย่าให้แม่รู้นะเพลิง พ่อไม่อยากให้แม่เขาเป็นห่วง”
ขณะนั้นเอง ผ่องหรือผ่องแผ้วแม่ของเพลิงกำลังแหวกผู้คนเข้ามาอย่างตกใจ เมื่อขึ้นเรือมาเจอพิภัช ผ่องเดินเข้ามาหาอย่างเป็นห่วง อดบ่นไม่ได้ว่า
“ฉันบอกพี่แล้วว่าไม่ไหวก็ไม่ต้องออกเรือ แล้วดูซิเนี่ย ร่างกายคงทนไม่ไหว ถึงได้หน้ามืดไปแบบนี้ พี่อย่าลืมสิว่าพี่ไม่เคยกรำงานหนักอย่างนี้มาก่อน แล้วตอนนี้ก็ไม่ใช่หนุ่มๆแล้วด้วย”
“พ่อเคยทำงานอะไรมาก่อนเหรอ” เพลิงถามอย่างแปลกใจ ทำให้ผ่องอึกอัก พิภัชกลบเกลื่อนว่า
“ตั้งแต่เพลิงเด็กๆก็เห็นพ่อทำประมงมาตลอดไม่ใช่เหรอ แม่เขาคงอยากพูดว่าพ่อแก่แล้วมากกว่า ไม่มีอะไรหรอกน่าผ่อง พี่แค่เพลียนิดหน่อย ก็เลยหน้ามืดไปแค่นั้นเอง โชคดีที่เพลิงลงไปลากขึ้นมา ไม่งั้นเป็นผีเฝ้าสะพานไปแล้ว”
ผ่องไม่อยากฟังตีแขนเขาบ่นว่าทำไมพูดอย่างนี้ไม่เป็นมงคลเลย แล้วหันไปบอกเพลิงให้พาพ่อกลับบ้านเสีย ทางนี้เดี๋ยวแม่กับแหว่งแวะส่งที่ตลาดเอง
พิภัชก็ยังบอกว่าตนไม่เป็นไรให้เพลิงไปช่วยแม่ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อ เพราะขืนปล่อยให้แม่ยกนั่นยกนี่คนเดียวเดี๋ยวจะเป็นลมไปอีกคน พูดแล้วจับมือผ่องที่ทำท่าจะค้านบอก “เชื่อพี่สิ”
เพลิงเห็นพ่อกับแม่ห่วงใยกันก็พูดแซวแบบปลื้มๆว่า
“ทั้งรักทั้งห่วงกันขนาดนี้ สงสัยหนุ่มๆสาวๆแถวนี้ไม่มีคู่ไหนสู้พ่อกับแม่ผมได้หรอกมั้ง”
ผ่องปรามลูกเขินๆ เพลิงบอกแม่ไม่ต้องเขิน ใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าพ่อกับแม่รักกันมากแค่ไหน พิภัชเลยลุกขึ้นโอบไหล่ผ่อง พูดติดตลกว่า
“งั้นไหนๆก็ไหนๆแล้ว ให้คนทั้งสะพานปลาเขาอิจฉาเราเล่นกันดีกว่า”
เลยเรียกเสียงเฮจากคนแถวนั้นได้ครึกครื้น เพลิงเองก็ตบมือชอบใจด้วย ผ่องเขินบ่นพ่อกับลูกแล้วเดินหนี
ooooooo
เพลิงขับมอเตอร์ไซค์พ่วงพาแม่มาจอดที่หน้าตลาด ผ่องลงจากรถบอกลูกชายว่าจะเข้าไปเตรียมแผงก่อน แล้วเดินเข้าไปในตลาด ส่วนเพลิงก็ยกลังปลาใส่รถเข็น เข็นตามเข้าไป
พอผ่องเข้าตลาด แม่ค้าปลาสาวคนหนึ่งก็ถลาเข้ามาหาผ่อง ตาก็กวาดมองหาใครอีกคนถาม
“คุณแม่...เอ๊ย...น้าผ่องขา วันนี้พี่เพลิงไม่มาด้วยเหรอคะ”
“เดี๋ยวก็ตามมาจ้ะ” ผ่องยิ้มแย้ม แม่ค้าสาวชูถุงโอเลี้ยงบอกว่าเตรียมโอเลี้ยงยกล้อไว้ให้เพลิง แต่พอเห็นเพลิงเข็นรถเข้ามาก็ถลาเข้าไปหา ยื่นถุงโอเลี้ยงบอกเสียงใสแจ๋ว
“พี่เพลิงจ๋า...โอเลี้ยงยกล้อเย็นเจี๊ยบชื่นใจจ้ะ มา...เดี๋ยวฉันจะป้อนให้นะ” พลางก็จ่อหลอดไปที่ปากเพลิง แต่ถูกอีกมือหนึ่งยื่นมากระชากถุงโอเลี้ยงไป
หลินนั่นเอง...หลินสาวหมวยสวยแก่น ลูกสาวเถ้าแก่เฮงเจ้าของตลาดดึงถุงโอเลี้ยงไปดูดหน้าตาเฉย เสร็จแล้วเบ้หน้า ยื่นถุงโอเลี้ยงคืนแม่ค้าปลาพลางพูด
“ทั้งชืดทั้งฝืดคอ นังแมว แกจะไปยกล้อที่ไหนกับใครก็ไป ไป! แล้วต่อไปอย่ามาตอแยกับพี่เพลิงของฉันอีก”
“ขายปลามาตั้งนาน ไม่รู้นะเนี่ยว่าพี่เพลิงเขาเป็นของแกตั้งแต่เมื่อไหร่” แมวประชด
“ปากมากนักนะ ตอนนี้ไม่ใช่ แต่เดี๋ยวก็ใช่เว้ย! ทำฉันอารมณ์เสียแต่เช้า เดี๋ยวแม่ขึ้นค่าแผงซะหรอก!”
ถูกขู่ขึ้นค่าแผง แมวก็ชะงักสะบัดหน้าพรืดกลับไป หลินมองตามอย่างสะใจ แล้วหันไปบอกเพลิง
“ของพี่เพลิง หลินเตรียมมาให้เรียบร้อยแล้ว...นี่จ้ะ” หลินชูกระติกนํ้าสีสดใสให้ดู เพลิงยิ้มให้หลินอย่างเหนื่อยใจกับความกล้าก๋ากั่นมั่นใจตัวเองของเธอ
ooooooo
ที่อีกมุมหนึ่งของตลาด...
ทีมงานถ่ายทำรายการท่องเที่ยวทางทีวี โดยมีนํ้าฝนเจ้าของรายการและพิธีกรกำลังแนะนำตลาดระนองแก่ผู้ชมด้วยลีลาและนํ้าเสียงที่แจ่มใส ชวนไปพิสูจน์ด้วยกันว่าตลาดที่นี่มีอะไรพิเศษ...
นํ้าฝนบอกทีมงานว่า เดี๋ยวเรามูฟไปถ่ายในตลาดต่อ อยากให้ได้มุมที่เห็นบรรยากาศตลาดสดที่ดูคึกคักหน่อย โปรดิวเซอร์รับคำว่าเดี๋ยวจัดให้
สั่งงานแล้วนํ้าฝนหยิบแก้วกาแฟส่วนตัวขึ้นจิบพร้อมกับอ่านสคริปต์ที่อยู่ในมือเดินไปอ่านไป
เพราะมัวแต่เดินอ่านสคริปต์เข้าไปในตลาดที่จอแจพลุกพล่านไม่ทันระวังตัว เลยถูกเด็กเข็นรถผักปลาที่เข็นแข่งกับเวลามาอย่างเร็วพุ่งเข้ามา พลางตะโกน “หลบหน่อย...หลบหน่อย...” นํ้าฝนหันไปเห็นรถกำลังพุ่งเข้ามา ตกใจกรีดร้องลั่น โชคดีที่ยังเบี่ยงตัวหลบทัน
ไม่ทันได้ตั้งตัว รถเข็นอีกคันก็พุ่งเข้ามา นํ้าฝนเกือบหลบไม่ทัน คราวนี้ชักฉุน มองตาเขียวบ่นอุบ
“อะไรกันเนี่ย ไม่มีใครมีมารยาทบ้างเลยหรือไง!”
เห็นนํ้าฝนอารมณ์เสีย ทีมงานเริ่มระวังตัวกลัวเจอลูกหลง ไม่ทันไรเสียงนํ้าฝนก็แว้ดขึ้น เอ็ดทีมงานว่าใครให้มาถ่ายตรงนี้ ถ้าตนเป็นอะไรไปมันจะเสียหายเสียเวลาแค่ไหน
“ก็คุณนํ้าฝนอยากได้บรรยากาศแบบคึกคัก...คึกคัก หนูก็จัดให้แล้วนี่คะ” โปรดิวเซอร์เสียงอ่อย
นํ้าฝนขู่ว่าเดี๋ยวจะจัดซองขาวให้ไปสงบอารมณ์ พอทีมงานพากันหน้าจ๋อย ก็สั่งให้เตรียมงาน ให้เวลาอีกห้านาทีถ้ายังไม่พร้อมถ่าย ได้ออกไปจริงๆแน่ โปรดิวเซอร์รับคำแล้วถอยกรูดไปเตรียมงาน
ไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะพอนํ้าฝนเดินอ่านสคริปต์ต่อไม่ทันไร ก็มีรถเข็นปลาพุ่งเข้ามาจากอีกทาง มีเสียงร้องให้หลบ นํ้าฝนตะลึงเพราะรถถึงตัวแล้ว
พริบตานั้น เพลิงเข้ารวบตัวนํ้าฝนหลบรถเข็นปลาไปได้หวุดหวิด ทั้งสองล้มลงบนแผงขายผักข้างๆ นํ้าฝนทับอยู่บนตัวเพลิง ต่างจ้องหน้ากันตะลึง เพลิงถามว่าไม่เป็นไรแล้วนะ แต่นํ้าฝนยังตะลึงอยู่
พอได้สติก็สะบัดลุกขึ้น แต่กระดุมเสื้อไปเกี่ยวกับกระดุมเสื้อของเพลิง เลยกระชากลุกมาด้วยกัน นํ้าฝนยิ่งโกรธด่า “คนบ้า ออกไปนะ!”
เพลิงพูดอย่างใจเย็นให้รอเดี๋ยว พลางล้วงไปแกะกระดุมเสื้อตัวเองออกจากนํ้าฝน ถูกนํ้าฝนโวยวายหาว่าจะทำอะไรตน เพลิงเลยจับตัวเธอไว้ดุให้อยู่นิ่งๆ แล้วรีบแกะกระดุมออกจากกัน เพลิงมองนํ้าฝนอย่างตำหนิ เธอเลยยิ่งโวยวายด่าเขาว่าคนฉวยโอกาส
“ฉวยโอกาส? อะไรของคุณเนี่ย ผมช่วยคุณไม่ให้โดนรถเข็นปลาชนนะ”
แทนที่จะรู้สึกตัวนํ้าฝนกลับมองว่าเพลิงทวงบุญคุณจะเอารางวัล ควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจะเอาเงินให้ หลินที่เห็นเหตุการณ์แต่ต้นทนไม่ได้ เดินอาดๆเข้ามาปกป้องเพลิง สาดอารมณ์ใส่นํ้าฝนไม่ยั้ง
“คนที่นี่เขาไม่ได้ตีค่าทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองไปหมดเหมือนเธอหรอกนะ อ๋อ...คิดว่าได้ออกทีวีแล้ววิเศษวิโสกว่าคนอื่นรึไง”
เลยกลายเป็นศึกนํ้าลายระหว่างสองสาวที่ฉกาจพอกัน ด่าสาดกันไม่มีใครยอมใคร หลินคว้าผักละเลงหัวนํ้าฝนก่อนประกาศศักดาลูกสาวเจ้าของตลาด เพลิงเห็นเรื่องจะไปกันใหญ่ รีบเข้าไปดึงหลินออกมา ทำให้นํ้าฝนตั้งหลักได้ หันไปคว้าผักมายีใส่หัวหลินบ้าง
ขณะหลินอ้าปากจะด่าต่อ นํ้าฝนก็คว้าแครอทยัดใส่ปากจนพูดไม่ออก กว่าจะดึงแครอทออกจากปากได้ก็โยกกันอยู่นาน นํ้าฝนหันไปฟ้องเพลิงที่ดึงตนออกมาว่า “ดูมันทำกับหลินนะ”
“หลินไปทำเขาก่อนนะ พอเถอะ แยกกันได้แล้ว” เพลิงดึงหลินออกไป หลินก็ยังดิ้นไม่ยอม หันไปคว้าผักปาใส่นํ้าฝนไม่ยั้ง นํ้าฝนไม่ยอม คว้าผักปาใส่บ้าง
“ทนไม่ได้แล้วโว้ย” หลินตะโกนแล้วปลุกระดมแม่ค้าพ่อค้า “เจ้าข้าเอ๊ย...มาช่วยกันไล่นังปากเหม็นนี่ออกไปหน่อยเร้ววววว ใครไล่ไปได้แม่จะลดค่าเช่าให้ครึ่งเดือนไปเลย!”
พอเห็นสายตาของพ่อค้าแม่ค้า หลินถอยพลางตะโกน “ลุยเลยพี่น้อง!”
เจอกองทัพพ่อค้าแม่ค้าเข้า นํ้าฝนกับทีมงานก็ถอย ออกจากตลาดแทบไม่ทัน หลินยืนหัวเราะร่าราวกับเจ้าแม่ ส่วนเพลิงมองตามนํ้าฝนกับกองถ่ายที่วิ่งหนีออกไป แล้วหันมองหลินอย่างรู้สึกเหนื่อยใจ...
ooooooo
ครอบครัวพิภัชอยู่บ้านหลังเล็กๆริมคลอง เพลิงในชุดพนักงานบริษัท เสื้อเชิ้ตยูนิฟอร์มกับกางเกงยีนส์เดินลงบันไดมา เห็นพ่อกำลังนั่งซ่อมอวนอยู่
“พ่อยังคิดจะออกเรืออยู่อีกหรือ” เพลิงถาม พิภัชบอกลูกว่าตนไม่เป็นอะไร เพลิงไม่อยากให้พ่อไปทำงานอีก ตนจะหาเลี้ยงพ่อกับแม่เอง เพราะเรียนจบแล้ว เงินเดือนก็พอเลี้ยงเราสามคนได้ แต่ถ้าพ่ออยากได้อะไรเพิ่มเติม ตนกับน้าหวินน้าแหว่งก็จะออกเรือหารายได้เสริม
พิภัชถามว่าแล้วจะให้พ่อทำอะไร นั่งๆนอนๆอย่างเดียวก็ไม่ไหว แต่เพลิงยังกลัวเรื่องแบบเมื่อเช้าจะเกิดขึ้นอีก บอกว่าถ้าเมื่อเช้าตนช่วยพ่อไม่ทัน ก็คงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
“เพลิง จำไว้นะลูก อย่ารู้สึกผิดในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ ชีวิตเรามันไม่ได้เป็นดั่งใจเราเสมอไปหรอก จริงไหม” พิภัชพูดเป็นปรัชญาให้ลูกคิด
พูดแล้วเห็นเพลิงนิ่งไป พิภัชทำเป็นมองนาฬิกาเตือนให้ลูกไปทำงานได้แล้ว ยํ้าเตือนลูกว่า
“ที่เขายอมให้ลูกเข้างานสายกว่าคนอื่นก็เป็นบุญคุณมากแล้ว เราต้องไม่เอาเปรียบเขาไปกว่านี้”
“ในที่สุดผมก็เกลี้ยกล่อมให้พ่อเลิกทำงานไม่ได้ใช่ไหม” เพลิงถามเชิงบ่น เห็นพ่อยิ้มแล้วส่ายหน้า เพลิงถอนใจ “งั้นผมไปทำงานนะครับ” ยกมือไหว้พ่อแล้วออกไป
“พ่อจะยอมให้ลูกต้องเหนื่อยอยู่คนเดียวได้ไง ในเมื่อลูกสมควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้...ถ้าตอนนั้นย่าของลูก...” พิภัชชะงักไม่พูดต่อ แต่แววตาเจ็บชํ้าเสียใจ เขาส่ายหน้าสลัดความรู้สึกแล้วลงมือซ่อมอวนต่อ
ooooooo
ที่บริษัทเพชรไทย...
ทองตรา ชาตโยธิน ผู้ดีเก่าเจ้าแม่แห่งวงการอัญมณี ผู้เป็นแม่แท้ๆของพิภัช นั่งอยู่ในห้องทำงานสีหน้าเศร้า ในมือถือรูปถ่ายเก่าๆใบหนึ่ง เป็นรูปถ่ายของพิภัชสมัยยังหนุ่มอยู่ในชุดนักธุรกิจสง่างาม
ทองตราลูบไล้รูปในมือ มองด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ นึกถึงวันนั้น ที่ตัวเองตัดขาดกับลูก...
“ถ้าแกเห็นเมียดีกว่าแม่ แกก็อย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก ฉันจะทำเป็นลืมไปว่า ชาตโยธินยังมีคนอย่างแก”
คิดถึงความเจ็บปวดในอดีตแล้ว ทำให้ทองตราอาการโรคหัวใจกำเริบ ยกมือกุมตรงหัวใจอย่างเจ็บปวด แต่พอมีเสียงเคาะประตู ทองตราก็กัดฟันนั่งตัวตรงเชิดหน้าคอตั้งปกปิดอาการเจ็บปวดของตัวเอง รีบเก็บรูปใส่ลิ้นชัก
บุษกล น้องของพิภัชนั่นเอง เธอเดินเข้ามาพร้อมพนักงานที่ถือถาดใส่ถ้วยโสมมาด้วย บอกว่าตนสั่งโสมมาจากเมืองจีนให้คุณแม่ทาน ทองตราขอบใจรับถ้วยโสมมา แต่มือสั่นจนเก็บอาการไม่อยู่ บุษกลตกใจจะพาแม่ไปโรงพยาบาลให้หมอเช็ก
“ไม่ต้อง...แม่ยังไม่ตายง่ายๆหรอก” ทองตราเสียงเข้มจนบุษกลชะงัก ตัดพ้อแม่ว่าตนทำไปเพราะรักแม่ คนรุ่นเดียวกับแม่วางมือจากงานไปหมดแล้ว เสนอให้แม่ไปทัวร์ธรรมะทำบุญให้สบายใจได้แล้ว ทองตราพูดสวนไปว่า “แม่ไม่ได้โชคดีอย่างคนพวกนั้น ที่เขามีคนไว้วางใจให้ดูแลกิจการของตระกูล ไม่งั้นคงไม่ต้องมานั่งเหนื่อยตอนแก่แบบนี้”
บุษกลหน้าเสียที่ถูกตำหนิ ถามว่าแม่ไม่ไว้ใจตนหรือว่าต้องการจะยื้อเวลารอให้พิภัชกลับมาดูแลบริษัทแทนกันแน่ ทองตราชะงัก จ้องหน้าลูกสาวด้วยสายตามีอำนาจน่ากลัว จนบุษกลรู้สึกหนาวเยือก
“แกมีธุระแค่นี้ใช่ไหม ฉันยังมีงานต้องทำ” พูดแล้วก้มหน้าเปิดแฟ้ม บุษกลฮึดฮัดลุกขึ้นเดินออกไป ทองตรา จึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองตามลูกสาวไปอย่างหนักใจ...
ooooooo
เพลิงขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงหน้าโรงงานอาหารทะเลแช่แข็งที่เขาทำงานอยู่ เขาถอดหมวกกันน็อกแล้ว เดินเข้าบริษัททั้งที่ใส่เสื้อแจ็กเกตทับเสื้อยูนิฟอร์มอยู่
ลุงชมพนักงานทำความสะอาดถือไม้ม็อบกับถังนํ้าเดินสวนมา พอเห็นเพลิงลุงชมทักอย่างดีใจด้วยสีหน้าสดชื่นบอกว่ามีอะไรจะอวด พลางล้วงกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกงวุ่นวาย ส่งไม้ม็อบให้เพลิงช่วยถือสองมือล้วงควักกระเป๋าวุ่นวาย
ที่แท้ลุงชมจะอวดรูปหลานวัยน่ารักนั่นเอง
ขณะนั้นเอง ทีมงานของนํ้าฝนมาถึง เธอเห็นโรงงานใหญ่โต ถามโปรดิวเซอร์ว่าติดต่อเจ้าของโรงงานเรียบร้อยแล้วใช่ไหม อย่าให้เหมือนที่ตลาดเมื่อเช้าก็แล้วกัน พลางหยิบถ้วยกาแฟส่วนตัวไปดื่ม มองเข้าไปในโรงงานอย่างพอใจ
นํ้าฝนเห็นเพลิงถือไม้ม็อบยืนคุยอยู่กับลุงชม จำได้ ว่ามีเรื่องกันเมื่อเช้า ยิ้มเหยียดเมื่อเห็นเขาในรูปลักษณ์เหมือนคนทำความสะอาด เมื่อเดินผ่านเพลิง เธอพูดเยาะเย้ย
“ทำงานหลายที่นี่”
ลุงชมมองนํ้าฝนอย่างชื่นชมเพราะดูรายการของเธออยู่ ถามเพลิงอย่างดีใจว่ารู้จักกันหรือ นํ้าฝนสวนไปทันทีว่าอย่าเข้าใจผิด คนอย่างตนไม่ลดตัวลงไปรู้จักกับคนคนนี้หรอก ทำเอาลุงชมมองเหวอ
“น่าแปลกนะ ที่เขาจ้างคนอย่างนายมาทำงานที่นี่ ถึงแม้จะจ้างมาเป็นแค่พนักงานทำความสะอาดก็เถอะ” นํ้าฝนเย้ยหยัน
ลุงชมทนฟังไม่ได้ปรามว่าให้พูดดีๆ เพราะเพลิงเป็นคนดี และเขาก็ไม่ใช่พนักงานทำความสะอาดด้วย เพลิงบอกลุงชมว่าช่างเถอะ เขาอยากเข้าใจยังไงก็ปล่อยเขาไป นํ้าฝนมองเพลิงพูดอย่างหมั่นไส้ว่า
“มีแต่คนคอยปกป้องนายทั้งนั้นเลยนะ ไม่รู้ว่าใช้มนต์ดำอะไรเสริมเสน่ห์”
“ถ้าคุณลองพูดดีๆกับคนอื่น ให้เกียรติคนอื่นบ้าง คุณก็คงทำให้คนรักได้ไม่ยากนักหรอก” เพลิงสวนไป แต่แทนที่จะฟังนํ้าฝนกลับปรามว่าไม่ต้องมาสั่งสอนเพราะลูกน้องรักตนกันทุกคน “เขารักคุณหรือว่าเขารักเงินที่คุณจ่ายเงินเดือนเขากันแน่” เพลิงจี้ไปถึงใจดำ
นํ้าฝนไม่ยอมแพ้ตัดบทว่าขี้เกียจเถียงกับคนอย่างเขา ไล่ให้กลับไปทำงานของตัวเองเสีย แกล้งทำกาแฟหก เท่านั้นไม่พอยังยํ่าจนเลอะเทอะไปหมด บอกเพลิงอย่างสะใจว่า “ขอให้สนุกกับงานนะ”
แต่กรรมตามทัน นํ้าฝนเหยียบกาแฟลื่นเกือบหกล้มดีแต่ยั้งตัวไว้ทัน ตั้งหลักได้ก็จํ้าอ้าวไปอย่างไว้ฟอร์ม เพลิงมองตามไปด้วยแววตาสมเพช ระอาเต็มที
ลุงชมบ่นว่าหน้าตาก็ดีไม่น่าทำถึงขนาดนี้เพียงแค่อยากเอาชนะคะคานกัน ไม่เห็นใจคนทำความสะอาดบ้างเลย เพลิงจะช่วยลุงชมเพราะตนเป็นต้นเหตุ
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณเพลิง คุณเพลิงไปทำงานเถอะ เดี๋ยวลุงจัดการเอง” ลุงชมรับไม้ม็อบจากเพลิงจัดแจงทำความสะอาด
ooooooo
นํ้าฝนทำหน้าที่พิธีกรแนะนำการบรรจุอาหารทะเลอย่างฉะฉาน มีชีวิตชีวา แล้วลองชิมให้ดู
เพลิงยืนดูอยู่ห่างๆ เห็นนํ้าฝนชิมอาหารแต่ละจานท่าทางสดใสน่ารัก เพลิงเห็นแล้วถอนใจ ดูช่างต่างกับความจริงที่เขาเห็นทั้งเมื่อเช้าและเมื่อครู่เหลือเกินอดพึมพำไม่ได้ว่า
“หน้าตาก็สวยดี แต่ทำไมถึงร้ายนัก”
ขณะนั้นเอง ปีเตอร์เจ้าของโรงงานเข้ามาทัก ยืนคุยกันครู่หนึ่ง เพลิงมองไปทางน้ำฝนที่กำลังชิมอาหารและคุยกับผู้ชมดูน่ารักสดใส ปีเตอร์มองเพลิงเอ่ยยิ้มๆว่า เธอน่ารักฉลาดนะ เพลิงกระอักกระอ่วน ไม่กล้าตอบอะไร
จนกระทั่งน้ำฝนเอ่ยลาผู้ชม ผู้กำกับสั่งคัต เพลิงจึงหันหลังเดินออกไปเงียบๆ น้ำฝนยิ้มสดชื่นเดินมาหาปีเตอร์ ขอบคุณเขาที่อนุญาตให้เข้ามาถ่ายถึงโรงงาน
“ยินดีครับ เดี๋ยวผมจะแนะนำผู้ช่วยของผมให้คุณรู้จัก เผื่อว่าคุณอยากได้ข้อมูลไปเพิ่มเติมในรายการน่ะ” ปีเตอร์เอ่ย พลางหันไปหาเพลิง แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว “อ้าว...ไปไหนซะแล้ว เมื่อกี้ยังยืนดูคุณจัดรายการอยู่ด้วยกันตรงนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณปีเตอร์ โอกาสหน้าน้ำฝนกับเขาคงได้เจอกัน” น้ำฝนยังมองไปรอบๆอีกครั้ง แต่ไม่เห็นใครอยู่แถวนั้นจริงๆ
ooooooo
ที่บ้านปางพญา อันเป็นบ้านของทองตรา อยู่รวมกับลูกๆและหลานๆเป็นครอบครัวใหญ่ ทองตรามีสำอางเป็นคนรับใช้ใกล้ชิด สำอางอยู่ที่นี่นานมากจนเหมือนสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวที่รู้เรื่องในครอบครัวและสามารถพูดกับทองตราได้แม้แต่เรื่องส่วนตัวและความคิดส่วนตน
ทองตรากลับถึงบ้านคืนนี้ สำอางไปรับกระเป๋าที่รถทักว่าดูเพลียๆ อาการกำเริบอีกหรือเปล่า ทองตราปากแข็งตามเคยว่าตนไม่ได้เป็นอะไร ครั้นสำอางจะพูดอีกก็ถูกยกมือห้าม เลยได้แต่มองตามอย่างเป็นห่วง จนเมื่อทองตราเข้าห้องนอน สำอางจัดยามาให้แกล้งรำพึงว่า
“ถ้ามียารักษาโรคลดทิฐิเหมือนอย่างลดความดันเลือด ลดน้ำตาล กินปุ๊บหายปั๊บก็ดีนะคะ”
“แกจะพูดอะไรสำอาง ฉันเป็นโรคหัวใจนะ ไม่ได้เป็นโรคอะไรอย่างที่แกว่า”
“อิฉันอยู่รับใช้คุณท่านมานานแล้วนะเจ้าคะ ทำไมอิฉันจะไม่รู้ว่าคุณท่านคิดอะไร ถ้าคุณท่านจะลดทิฐิลงบ้าง แล้วไปตามคุณพิภัชกลับมา คุณท่านก็จะได้ไม่ต้องอมทุกข์อมโศกอย่างทุกวันนี้”
“แกอย่ามาทำรู้ดีนักเลยสำอาง แกไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าฉันเจ็บช้ำน้ำใจแค่ไหน พิภัชทำกับฉันขนาดนั้น แล้วยังจะให้ฉันตามมันกลับมาอีกงั้นเหรอ อย่าพูดเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้หน่อยเลย”
“อิฉันไม่อยากให้คุณท่านต้องทนคิดถึงคุณพิภัชจนต้องเจ็บป่วยอยู่อย่างนี้นี่เจ้าคะ”มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ชนนท์ลูกชายของนิรุต ลูกชายคนสุดท้องของทองตราเข้ามารับคุณย่าไปทานอาหารเย็นตามปกติ ทองตราหันไปพูดกับสำอางว่า
“ฉันมีหลานรักอย่างชนนท์อยู่ทั้งคน แล้วจะต้องไปคิดถึงคนอื่นทำไม” ชนนท์ถามว่าคุณย่าพูดถึงใครอยู่หรือ ทองตราตัดบทว่า “ไม่มีอะไรหรอกชนนท์ ยายแก่สำอางเขาชอบพูดแต่เรื่องความหลัง เราอย่าสนใจเลย ย่าหิวแล้ว เราลงไปกินข้าวกันเถอะ”
ชนนท์พาคุณย่าออกจากห้องไป สำอางมองตามแล้วส่ายหน้ากับความทิฐิของเจ้านาย
ooooooo
ที่โต๊ะอาหาร บุษกล กับนาฎนรีน้องสาวของอาณัติและนิรุต นั่งรอทองตราอยู่ที่โต๊ะอาหาร
นาฎนรีรู้สึกหิวจึงหยิบของทอดชิ้นหนึ่งรองท้อง ถูกแม่ตีมือดุว่าคุณยายยังไม่ลงมาจะกินก่อนได้ยังไง นาฎนรีอ้างว่าตนหิวคุณยายลงมาสายเอง
“หิวยังไงก็ต้องรอ แค่เรานั่งรออยู่นี่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของชนนท์ไปตามคุณยายทุกวันแบบนี้ เดี๋ยวคุณยายก็ลืมว่าแกเป็นหลานอีกคนหรอก” ดุลูกแล้วหันไปว่าน้องชาย “นี่ตารุต ครั้งหน้าขอโอกาสให้ลูกพี่ไปปรนนิบัติพัดวีคุณแม่บ้างก็ได้นะ ให้ชนนท์เขาเป็นภาระทุกวันแบบนี้ เดี๋ยวจะเหนื่อยแย่”
นิรุตบอกพี่สาวว่า ชนนท์แค่เป็นห่วงคุณย่าไม่ได้คิดหาโอกาสประจบอย่างที่พี่เข้าใจ บุษกลก็ยังตะแบงไปว่าก็แค่อยากจะเตือนว่าอย่าหวังอะไรให้สูงนัก เพราะเรื่องที่คุณแม่จะให้ใครมาแทนพี่ภัชนั้นคงจะยาก
“มันก็จริง...เพราะเราสองคนรวมกัน ความสามารถยังไม่เท่าครึ่งหนึ่งของพี่ภัช แล้วจะหวังให้คุณแม่วางใจเราเท่าพี่ภัชได้ยังไง ที่เพชรไทยมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะพี่ภัชกับคุณแม่ช่วยกันประคับประคองร่วมกันมาไม่ใช่หรือ”
“นี่ตารุต! แกเลิกปกป้องพี่ภัชเขาเสียทีได้ไหม แกก็รู้นี่ว่าพี่ชายสุดที่รักของแกเขาทำคุณแม่เจ็บปวดแค่ไหน”
พอดีชนนท์พาทองตราลงมา ทองตราถามบุษกลว่าอาณัติล่ะ บุษกลอึกอักกำลังหาข้อแก้ตัวให้ลูกชาย ก็พอดีอาณัติเดินลงมา พูดลอยๆว่า “ผมออกไปข้างนอกนะครับ”
“ถ้าลูกแกขยันทำงานเหมือนขยันออกไปเที่ยวทุกคืนแบบนี้ ฉันคงพอจะเบาใจได้ว่า เพชรไทยจะยังอยู่ต่อไปได้โดยไม่ต้องมีฉัน”
ทองตราพูดกับบุษกล แต่อาณัติเถียงว่าถึงตนจะขยันทำอะไรไปก็ไม่มีใครเห็นหัวอยู่ดี บุษกลตกใจปรามลูกชายแล้วสั่งให้ขอโทษคุณยาย ทองตราขัดขึ้นหน้านิ่งๆว่าไม่จำเป็น ถ้าจะขอโทษก็ต้องรู้สึกผิดจริงๆ พูดอย่างเจ็บปวดว่า “แต่ฉันว่าต่อให้อาณัติผลาญเงินของชาตโยธินจนหมดไม่มีเหลือ มันก็คงไม่รู้สึกอะไร”
อาณัติโต้เถียงทองตราไม่ยำเกรง และไม่มีแม้แต่ความเคารพผู้เป็นยาย พูดประชดว่าคนดีของคุณยายมีอยู่คนเดียวเท่านั้นแต่เขาก็ไม่อยู่บ้านนี้เสียแล้ว
“แกจะพูดอะไรอาณัติ! ถ้าแกกล้าก็พูดออกมาให้ชัดๆเลยสิ” ทองตราเสียงดังอย่างโมโห อาณัติย้อนท้าว่าคิดว่าตนไม่กล้าพูดความจริงหรือ บุษกลพยายามห้ามลูกชายไล่จะไปไหนก็ไปเลย ทองตราเสียงเข้มว่า “อาณัติยังไปไหนไม่ได้มันกับฉันยังพูดกันไม่จบ!”
“ช่างเถอะครับคุณแม่” นิรุตไม่อยากให้คุณแม่ไม่สบายใจ แล้วบอกอาณัติ “แกไปได้แล้วณัติ!”
“ผมไปแน่ แต่อยากจะเตือนคุณยายด้วยความหวังดี... คุณยายเลิกหวังลมๆแล้งๆว่าลูกชายสุดที่รักของคุณยายจะกลับมาเถอะครับ เพราะไม่มีลูกชายคนไหนจะกลับมาหาแม่ที่เสือกไสไล่ส่งตังเองออกจากตระกูลหรอก...เลิกหวงเก้าอี้ไว้ให้ลุงพิภัชซะที!”
ทุกคนตกใจกับการก้าวร้าวของอาณัติ ทองตรานิ่งอึ้งอาการโรคหัวใจกำเริบขึ้นกะทันหัน
“มากไปแล้วนะพี่ณัติ!” ชนนท์โกรธมากคว้าคอเสื้ออาณัติเงื้อหมัดจะชก นิรุตกับบุษกลรีบเข้าห้าม
ทองตราโรคหัวใจกำเริบจนหมดสติล้มลง มือป่ายปัดโดนจานบนโต๊ะตกแตกเสียงดัง ทุกคนจึงหันมอง นิรุตกับบุษกลถลาเข้าประคองแม่ ส่วนอาณัติมองอึ้ง
ทองตราหมดสติแน่นิ่งอย่างไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา...
ooooooo
ที่มา ไทยรัฐ
No comments:
Post a Comment