Monday, July 4, 2011

เพลิงทระนง ตอนที่ 2

คืน​เดียวกัน​นี้ พิภัช​ใจลอย​จน​ทำ​ตะเกียง​น้ำมัน​ตก​แตก​กระจาย​ที่​พื้น ผ่อง​ตกใจ​ถาม​ว่า​เป็น​อะไร​หรือ​เปล่า ถ้า​ยัง​รู้สึก​ไม่​ดี​คืน​นี้​ไม่​ต้อง​ออก​เรือ​ก็ได้

พิภัช​บอก​ว่า​ไม่​มี​อะไร​แค่​ตน​ใจลอย​ไป​หน่อย ครั้น​ผ่อง​ถาม​ว่า​เรื่อง​อะไร​หรือ พิภัช​ยิ้ม​เศร้าๆส่าย​หน้า​พิึม​พำ​ว่า​คน​หาเช้ากินค่ำ​อย่าง​เรา​จะ​มี​เรื่อง​อะไร​นอกจากเรื่องปาก​ท้อง

ผ่องเอะใจเพราะเพลิงก็เรียนจบมีงานทำแล้ว ถามว่า “หรือว่าพี่ภัชคิดถึง...เรื่องคุณหญิงแม่” เห็นพิภัชนิ่งอึ้ง ผ่องเดาใจว่า “นอกจากเพลิงกับฉันแล้ว ฉันรู้ว่าคนเพียงคนเดียวที่พี่ห่วงคือคุณหญิงแม่”

“บางครั้งพี่ก็รู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลท่าน”

“เราสองคนพาลูกไปกราบขอโทษคุณหญิงแม่ด้วยกันดีไหมจ๊ะ บางทีคุณหญิงแม่อาจจะหายโกรธแล้วก็ได้”

พิภัชส่ายหน้าเพราะเรื่องนานมากแล้ว ไม่อยากเอา

เรื่องนี้กลับไปกวนใจท่านอีก พูดอย่างไม่หายสะเทือนใจว่า “คุณแม่อยากได้สะใภ้รวยๆให้สมฐานะ แต่ในเมื่อพี่รักผ่องและตามใจคุณแม่ไม่ได้ งั้นก็ปล่อยให้ท่านมีความสุขบน

กองเงินกองทองที่ท่านชอบต่อไปเถอะ”

ผ่องรู้ว่าพิภัชฝืนใจพูดเหมือนประชด แต่ลึกๆแล้วห่วงแม่มากกว่า ก็ได้แต่นิ่งแล้วถอนใจ

ooooooo

ระหว่างเฝ้าอยู่หน้าห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาล บุษกลเอ็ดอาณัติว่าถ้าคุณยายเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ รู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป

อาณัติโกรธหาว่าแม่โทษตนแทนที่จะโทษลุงพิภัชที่ทำให้คุณยายตรอมใจแบบนี้ ชนนท์ทนฟังไม่ได้แย้งว่าถ้าอาณัติไม่รื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาคุณย่าก็คงไม่เป็นแบบนี้ ทั้งคู่โต้เถียงกันจนอาณัติจะเข้าไปชกชนนท์ ทุกคนต้องช่วย

กันห้าม

ขณะนั้นเอง หมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ทุกคนรีบเข้าไปถามอาการของทองตรา หมอนิ่งไปอย่างหนักใจก่อนบอกว่า

“คราวนี้อาการคุณหญิงน่าเป็นห่วงกว่าครั้งไหนๆ เราไม่รู้ว่าหัวใจของคุณหญิงจะหยุดเต้นเมื่อไร ทางรอดทางเดียวคือการเปลี่ยนหัวใจใหม่ ตอนนี้คงทำได้แค่พยุงอาการ จนกว่าจะมีผู้บริจาคหัวใจ”

ทุกคนฟังแล้วอึ้ง...

ooooooo

หลินยังคงแสดงความรักต่อเพลิงอย่างเปิดเผย วันนี้ก็ไปนั่งปรนนิบัติเพลิงที่ร้านกาแฟอาโก ระหว่างเพลิงกินกาแฟปาท่องโก๋นั้น หลินหยิบหนังสือพิมพ์อ่าน เจอข่าวทองตราป่วยเข้าโรงพยาบาล

“พี่เพลิง ดูคอลัมน์นี้สิ มีคนนามสกุลเดียวกับพี่เพลิงด้วย พี่เพลิงรู้จักรึเปล่า ทองตรา ชาตโยธิน”

เพลิงบอกว่าไม่รู้จัก พ่อเคยบอกว่าบ้านนี้มีกันอยู่แค่สามคนเท่านั้น ตนเคยได้ยินชื่อทองตรา ชาตโยธินเหมือนกัน พอถาม พ่อบอกว่ามีเชื้อมาปลายแถวเลยได้ใช้นามสกุลไฮโซกับเขาด้วย

หลินเคลิ้มว่าตนจะได้ใช้นามสกุลไฮโซนี้ด้วย แต่พอมองอีกทีเพลิงหายไปแล้ว เขาไปที่แผงขายปลาสลิด หลินรีบโฉบเข้าไป พอรู้ว่าเขาจะซื้อไปฝากพ่อ หลินเร่งให้เขาไปทำงานอาสาจะซื้อเอาไปให้เอง

พอเพลิงไปทำงาน หลินก็ฉีกหนังสือพิมพ์ส่วนที่มีข่าวเกี่ยวกับทองตรา แล้วไปหักคอขอปลาสลิดจากแม่ค้า ใช้หนังสือพิมพ์ที่ฉีกมาห่อเอาไปให้พิภัชอย่างมีเจตนา

“ปลาสลิดบางบ่อของแท้เลยนะลุงภัช หลินตั้งใจเอามาฝากลุงภัชโดยเฉพาะ เพราะรู้ว่าลุงภัชชอบกิน” หลินทำคะแนนให้ตัวเองแล้วหยอดท้ายด้วยการฝากตัวเป็นสะใภ้ให้พิจารณาด้วย

พิภัชหัวเราะขำๆ ความล้นของหลิน

ooooooo

จนคํ่าผ่องเข้าครัวเตรียมทอดปลาสลิดกับเผาปลาสำลีเตรียมไว้ให้พ่อลูกกินเย็นนี้ ขณะพิภัชเอาหนังสือพิมพ์ห่อปลาสลิดจะก่อไฟนั้น เหลือบเห็นรูปและข่าวของทองตรา เขารีบดับไฟคลี่หนังสือพิมพ์อ่าน

“พี่ภัช...มีอะไรรึเปล่า” ผ่องถาม เมื่อได้ดูหนังสือพิมพ์ ผ่องอุทานตกใจ “คุณหญิงแม่ป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล” ผ่อง กับพิภัชมองหน้ากันอึ้ง พูดไม่ออก

ทั้งสองรีบออกไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะใกล้บ้านโทร.ไปที่บ้านปางพญา ซึ่งชนนท์กับนิรุตกำลังนั่งรอโทรศัพท์ฟังข่าวทองตราอยู่

ชนนท์รีบลุกไปรับสาย ปลายสายพูดอย่างรีบร้อนว่า “ช่วยเรียกนิรุตมาพูดสายหน่อยได้ไหม” ชนนท์ถามว่าใครต้องการเรียนสาย พิภัชนิ่งไปครู่หนึ่งจึงบอกว่า “พิภัช”

ชนนท์ชะงักคาดไม่ถึง นิรุตรีบลุกมาถามว่ามีอะไร พอรู้ว่าพิภัชโทร.มาเขาคว้าโทรศัพท์ไปคุย

“รุต...พี่โทร.มาถามอาการคุณแม่ ตอนนี้ท่านเป็น

ยังไงบ้าง” พิภัชถามอย่างร้อนใจ

“อาการท่านน่าเป็นห่วงมากพี่ภัช หมอบอกว่าถ้าไม่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจโดยเร็ว...ท่านอาจจะ...” นิรุตพูดไม่ออก

พิภัชถามว่าคุณแม่เป็นโรคหัวใจได้ยังไง คุณแม่ล้มป่วยเพราะตนใช่ไหม นิรุตตอบเลี่ยงๆ ว่าพักหลังท่านโหมงานหนัก

“ทำไมท่านยังต้องโหมงานหนัก ในเมื่อท่านยังมีแก มียัยบุษ แถมยังมีหลานๆอีก”

“แต่คุณแม่...คุณแม่ไม่ไว้ใจใคร...นอกจากพี่ภัช”

พิภัชเสียใจมากที่ตัวเองทำให้คุณแม่ต้องเป็นแบบนี้ เขาวางสายทันทีอย่างไม่อาจพูดอะไรต่อได้ ผ่องยืนฟังอยู่ด้วย ปลอบใจว่า

“ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เราทั้งคู่ ฉันก็มีส่วนทำให้คุณแม่ของพี่ต้องล้มป่วย...พี่ภัช เราจะไถ่บาปกรรมนี้กันได้ยังไง”

เพลิงมายืนฟังอยู่แต่ต้นแล้ว เมื่อพิภัชกับผ่องเหลือบมาเห็นต่างตกใจ เพลิงถามอย่างสะเทือนใจว่า

“นี่มันอะไรกันครับ ไหนพ่อเคยบอกว่าย่าตายไปแล้ว เราไม่มีญาติที่ไหนอีกไง แล้วนี่มันหมายความว่ายังไง...”

ooooooo

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ พิภัชตัดสินใจเล่าอดีตทั้งหมดให้เพลิงฟัง

“ถ้าจะพูดว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากความรักที่พ่อกับแม่มีต่อกัน มันก็คงไม่ผิดนัก ตอนนั้นคุณย่าของลูกกีดกันความรักของพ่อกับแม่ในทุกทาง คุณย่าคิดว่าแม่เป็นเพียงแม่ค้าขายปลา ซึ่งแตกต่างกับธุรกิจค้าเพชรของชาตโยธิน”

เพลิงถามว่าคุณย่าเป็นพวกเหยียดคนหรือ พิภัชชี้แจงว่าเป็นเพราะคุณย่าไม่รู้จักแม่มากกว่า ถ้าคุณย่ารู้จักแม่ก็จะรู้ว่าแม่มีหัวใจดุจเพชรพลอย เล่าแล้วพิภัชยอมรับว่า “พ่อผิดเองที่ทิฐิจนไม่ยอมพาเพลิงกับแม่ไปขอโทษย่าตั้งแต่แรก”

“มันอาจจะยังไม่สายเกินไปก็ได้นะครับ ถ้าพ่อกับแม่อยากไปกราบขอโทษคุณย่า ผมจะไปด้วย”

ฟังเพลิงแล้วทั้งผ่องและพิภัชต่างมองกันนิ่ง เมื่อผ่องเห็นด้วยกับเพลิง พิภัชเร่งแม่ลูกให้รีบแต่งตัว “เราจะเข้ากรุงเทพฯไปกราบขอโทษคุณย่าเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป”

ooooooo

ด้วยความเป็นห่วงและร้อนใจกลัวจะไปไม่ทันได้ขอโทษแม่ พิภัชขอขับรถเอง เพลิงจำต้องตามใจพ่อแต่คอยนั่งระวังอยู่ข้างๆ คอยเตือนเมื่อพ่อขับรถฉวัดเฉวียนว่า ใกล้ถึงกรุงเทพฯแล้วไม่ต้องรีบมากก็ได้

“แต่พ่อใจไม่ดีเลยเพลิง ถ้าคุณย่าเป็นอะไรไปตอนนี้ พ่อคง...”

“แต่ฉันเชื่อว่า สวรรค์ต้องให้โอกาสคนที่สำนึกผิด ยังไงพี่จะต้องได้กราบขอโทษท่าน ไม่ต้องห่วงนะพี่ภัช” ผ่องกุมมือพิภัชให้กำลังใจ

พอพิภัชเริ่มผ่อนคลายขึ้น ก็มีรถคันหนึ่งขับสวนมาอย่างเร็วพุ่งเข้าหารถของพิภัช เขาหักพวงมาลัยให้ด้านของตัวเองปะทะกับรถคันนั้นเสียงสนั่นหวั่นไหว

เมื่อรถจอดสนิท เพลิงเซไปด้านหนึ่งหัวฟาดกับรถมีเลือดที่หน้าผาก เขาหันมองพ่อกับแม่เห็นสลบไปทั้งสองคนเลือดท่วมหน้า เขาพยายามเข้าไปเรียกก็ไม่ได้สติ ตัดสินใจปีนมาทางด้านหน้าเปิดประตูฝั่งคนขับลงไปโบกขอความช่วยเหลือจากรถที่ขับผ่านไปมา

ooooooo

เวลาเดียวกันนั้น ทองตราอยู่ในห้องฉุกเฉินหัวใจหยุดเต้นจนหมอต้องช่วยกันนวดหัวใจ เมื่อหมอออกจากห้องนิรุตถามว่าคุณแม่ตนเป็นยังไงบ้าง



“คุณหญิงหัวใจหยุดเต้นไปช่วงหนึ่ง แต่เรากู้คืนมาได้ หัวใจของคุณหญิงทองตราอ่อนแอมาก หมอไม่แน่ใจว่าถ้ามันเกิดขึ้นอีกหมอจะกู้คืนได้สำเร็จเหมือนครั้งนี้ไหม ตอนนี้เราคงต้องภาวนาให้มีคนบริจาคหัวใจให้คุณหญิงโดยเร็วที่สุดล่ะครับ”

บุษกลกับนิรุตอึ้งไปกับปัญหาหนักหน่วงที่ต้องยื้อชีวิตแม่ด้วยการรอคอยการบริจาคหัวใจ

แต่เมื่อกลับถึงบ้านปางพญา บุษกลก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรนัก ทั้งยังเห็นด้วยกับอาณัติว่าแม่ชอบเอาเรื่องเก่าๆมารกสมอง หาเรื่องใส่ตัวเอง แล้วระบายความไม่พอใจที่เก็บกดมานานว่า

“กับลูกหลานแท้ๆยังไม่ไว้ใจ มันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ นี่อย่าหาว่าแม่แช่งเลยนะ”

“แต่ฟังเผินๆเหมือนแช่งเลยนะคะคุณแม่ ใครมาได้ยินเข้าก็ต้องคิดแบบนี้แหละ” นาฎนรีติง

เป็นจังหวะที่นํ้าฝนเข้ามาพอดี เธอไหว้บุษกลบอก ว่า ทราบข่าวคุณยายทองตราก็รีบมา และได้โทร.บอกคุณพ่อ คุณแม่ที่ไปแสดงเครื่องเพชรที่เบลเยียมแล้ว ท่านจะรีบกลับมาเที่ยวบินเร็วที่สุดคืนนี้ ลงเครื่องเมื่อไรก็จะรีบมาเยี่ยมคุณยายที่โรงพยาบาลทันที

อาณัติมองนํ้าฝนตาหวานบอกว่า เราคนกันเองแท้ๆ ไม่เห็นต้องให้คุณพ่อคุณแม่รีบร้อนจนเสียงาน

“นั่นสิจ๊ะ...น้าเองก็ไม่ได้คิดว่าบ้านหนูนํ้าฝนเป็นแค่ลูกค้าสำคัญของบริษัทเพชรไทยของเราเท่านั้น เพราะอีกหน่อย หนูนํ้าฝนก็จะต้องมาเป็นชาตโยธินคนนึงเหมือนกัน

ไม่ใช่เหรอจ๊ะ” บุษกลอ่อนหวานเอ็นดูจนนํ้าฝนเขินหลบตาอาณัติที่มองไม่กะพริบ

เมื่อไปคุยกันตามลำพัง อาณัติทำเป็นเสียอกเสียใจที่ ตนเป็นคนทำให้คุณยายเป็นอย่างนี้ นํ้าฝนปลอบใจว่าเขาไม่ได้ ตั้งใจและต้องมีโอกาสบอกคุณยาย ตนเข้าใจและจะเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆเขาเสมอ

อาณัติกอดนํ้าฝนไว้อย่างขอบคุณ แต่แววตาที่นํ้าฝนมองไม่เห็นนั้น เจ้าเล่ห์นัก! ยิ้มสะใจที่เล่นละครตบตานํ้าฝน ได้แนบเนียน

ไม่เพียงแสดงความเห็นใจให้กำลังใจอาณัติด้วยตัวเองเท่านั้น เมื่อนํ้าฝนกลับมาเจอสิตาพี่สาวตัวเองที่คอนโดฯเธอก็ยังบอกว่าสงสารอาณัติเหลือเกินที่เอาแต่โทษตัวเองว่าผิดที่ทำให้คุณยายต้องป่วย

สิตาปลอบใจแกมหยอกน้องสาวว่า เมื่อคุณยายฟื้น ขึ้นมาและอาณัติไปขอโทษท่านก็ให้อภัย แซวน้องว่า “เผลอๆ พี่ว่าคุณยายทองตราอาการจะหายป่วยก็ตรงที่รู้ว่านํ้าฝนห่วงพี่ณัติมากนี่แหละ”

นํ้าฝนถามพี่สาวงงๆ ว่าหมายความว่าไง สิตาทำหน้า ล้อน้อง ร้อง “อ้าว...ก็คิดดูสิ ในโลกนี้จะมีสักกี่คู่ที่ผู้ใหญ่จับหมั้น แล้วจะรักกันได้ขนาดนี้”

นํ้าฝนเขินแกล้งแหย่พี่สาวบ้างว่า ตัวเองมัวแต่เลือกระวังจะขึ้นคาน แล้วลุกไปที่โต๊ะเครื่องแป้งหยิบแหวนหมั้นออกมาดูเมื่อสิตาออกไปแล้ว...

เห็นแหวนแล้วก็อดคิดถึงวันนั้นไม่ได้ วันที่แม่มาขอให้ตนหมั้นกับอาณัติให้ถือเสียว่าทำเพื่อแม่สักครั้ง เพราะเวลานั้นเธอบอกแม่ว่า คิดกับอาณัติแบบพี่ชายเท่านั้น นํ้าฝน ยิ้มกับแหวนหมั้นพึมพำอย่างมีความสุขว่า

“มาถึงวันนี้นํ้าฝนเชื่อคุณแม่ค่ะว่าคุณแม่มองพี่ณัติไม่ผิด”

ooooooo

เพลิงพาพ่อกับแม่เข้าโรงพยาบาล ทั้งสองเข้าห้องฉุกเฉินทันที เพลิงทำแผลที่หัวแล้วมานั่งเฝ้าอยู่ หน้าห้อง

เมื่อหมอออกมาเขาเบาใจเมื่อรู้ว่าแม่พ้นขีดอันตรายแล้ว กระดูกคอที่เคลื่อนก็ใส่เฝือกไว้แล้ว คงใช้เวลาประมาณเดือนกว่าคนไข้จะอาการดีขึ้น

“แล้วพ่อล่ะครับ อาการของพ่อเป็นยังไงบ้าง” เพลิงเห็นหน้าหมอเปลี่ยนไปก็ใจไม่ดี

“คนไข้สมองตายก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาลแล้ว หมอฉีดยากระตุ้นหัวใจให้กลับมาทำงานได้แต่สมองคนไข้ไม่มีปฏิกิริยารับรู้ ในทางการแพทย์เราถือว่าคนไข้ที่มีอาการแบบนี้เหมือนกับได้เสียชีวิตไปแล้วครับ”

เพลิงแทบช็อก ยิ่งเมื่อหมอบอกว่าถึงตอนนี้หัวใจของพิภัชจะยังแข็งแรงแต่ก็อยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ ถ้าถอดเครื่องช่วยหายใจเมื่อไหร่หัวใจก็หยุดเต้น หมอแสดงความเสียใจกับเพลิงบอกเขาว่า

“คุณคงต้องตัดสินใจว่าจะให้พ่อคุณอยู่ในสภาพนี้ตลอดไป หรือจะให้ท่านไปสบาย โดยไม่ยื้อท่านไว้”

เพลิงรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มทลายลงมาตรงหน้า เขาทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส ตัดสินใจไม่ได้ เข้าไปหาแม่พร่ำบอกแม่อยากให้แม่ตื่นขึ้นมาช่วยกันตัดสินใจ บอกแม่ว่า

“ผมไม่อยากเป็นคนเดียวที่ต้องตัดสินใจว่าควรจะถอดเครื่องช่วยหายใจพ่อออกไหม แต่อีกใจนึง...ผมก็ไม่อยากให้แม่ต้องตื่นมารับรู้ว่าเราจะต้องเสียพ่อไปตลอดกาล...พ่อแค่ต้องการมาขอขมาย่า...แต่กลับไม่มีโอกาส...”

ooooooo

เพลิงตัดสินใจไปดูอาการของทองตรา เขาบอกหมอว่าเป็นหลานของท่าน พ่อตนคือ พิภัช ชาตโยธิน

เมื่อทราบอาการจากหมอแล้ว เพลิงเดินไปที่เตียงคนป่วยจ้องหน้าทองตราอย่างตัดสินใจ

“พ่ออยากจะมาขอโทษย่า...ผมจะทำให้ความตั้งใจของพ่อสำเร็จ”

เพลิงตัดสินใจอย่างเจ็บปวดที่สุดในชีวิต เขาแสดงเจตจำนงบริจาคหัวใจพ่อให้ย่า บอกนิรุตกับบุษกลว่า “พ่อจะได้ทำอย่างที่ท่านตั้งใจ ตอนนี้พ่ออยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกแล้ว ผมเองก็ไม่อยากให้พ่อต้องทรมานอยู่ในสภาพแบบนี้ เพราะฉะนั้น ผมจะยกหัวใจพ่อให้ย่า เพื่อเป็นการไถ่โทษที่พ่อเคยทำให้ย่าเสียใจ”

ขณะนั้นเอง เจ้าหน้าที่เอาเอกสารบริจาคอวัยวะมาให้เซ็น บุษกลกับนิรุตมองหน้ากันอึ้ง เพลิงเองก็ใจหายที่ต้องพรากลมหายใจไปจากพ่อ...

เพลิงกลั้นน้ำตาเซ็นชื่อในเอกสารในฐานะญาติผู้บริจาค บุษกลกับนิรุตเซ็นชื่อในฐานะญาติผู้รับบริจาค หลังจากนั้นเพลิงกลับมากราบลาพ่อที่นอนไม่ได้สติ บอกพ่อทั้งน้ำตา...

“ผมกราบขอโทษ ที่ต้องเป็นคนตัดสินใจพรากลมหายใจสุดท้ายของพ่อ...ผมรู้ครับว่าพ่อไม่มีวันโกรธผม ผมรู้ว่า ถ้าผมมีโอกาสถามพ่อ พ่อก็คงบอกให้ผมทำแบบนี้...พ่อหลับให้สบายเถอะครับ ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว...พ่อได้ขอโทษย่าแล้ว...ความตั้งใจของพ่อสำเร็จแล้วนะครับ...”

ooooooo

หลังการผ่าตัดทองตราแล้ว นิรุตดีใจมากโทร.ไปหาชนนท์จะบอกข่าวดี ถูกบุษกลคว้าโทรศัพท์ไปกดวางสาย ชนนท์จึงได้ยินพ่อบอกแค่ว่ามีคนมาบริจาคหัวใจให้ย่าและลูกจะต้องคิดไม่ถึงว่าเขาคือ...ทำให้ชนนท์งงมาก

บุษกลเรียกเพลิงกับนิรุตมาคุยกันให้ทั้งสองสัญญาว่า 1.สำหรับเพลิง ห้ามมาเรียกร้องเรื่องที่พิภัชมอบหัวใจให้ทองตรา 2.ให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับอย่าให้ทองตรารับรู้เด็ดขาด เกรงท่านจะรับไม่ได้เป็นอะไรไปอีก ก็เท่ากับเจตนารมณ์ของพิภัชไม่สำเร็จอยู่ดี

เพลิงให้สัญญาเพราะตนทำทุกอย่างเพื่อให้เจตนารมณ์ของพ่อสำเร็จเท่านั้น จะไม่มีวันเรียกร้องหรือทวงบุญคุณกันเด็ดขาด บุษกลให้นิรุตสัญญา เขามองหน้าเพลิงก่อนตัดสินใจบอกว่า

“เพื่อเห็นแก่คุณแม่ ผมสัญญาก็ได้”

“ดี...งั้นก็ขอให้ทุกคนรักษาสัญญา เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไปจนตายด้วย”

แต่เมื่อกลับถึงบ้านปางพญา บุษกลเล่าเรื่องนี้ให้อาณัติกับนาฎนรีฟังทั้งหมดด้วยเหตุผลว่า

“แม่มาบอกแกสองคน ก็เพราะว่าแกสองคนต้องช่วยกันจับตาดู ไม่ให้ไอ้เด็กนั่นมันมีโอกาสกลับมาเล่าเรื่องนี้ให้คุณยายรู้เด็ดขาด เพราะถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูคุณยายเมื่อไร คุณยายต้องใจอ่อน ยกโทษให้ลุงพิภัช แล้วก็เอาลูกเมียของลุงแกมาหารสมบัติของเรา แม่ไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนั้นเด็ดขาด”

วันต่อมา เพลิงมาเยี่ยมทองตรา ถามนิรุตว่าคุณย่าเป็นอย่างไรบ้าง

“เพลิงบอกว่าไม่ได้ห่วงย่า แต่ทำทุกอย่างตามเจตนารมณ์พ่อ แต่จริงๆแล้วอาดูออกนะว่าเพลิงก็เป็นห่วงย่าเหมือนกัน”

“ผมแค่อยากเห็นว่าย่าปลอดภัยเพื่อให้หัวใจของพ่อไม่สูญเปล่าเท่านั้น”


“เอาเถอะ ไม่รับก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าอารู้ว่าเธอจิตใจดีก็แล้วกัน ตามสบายนะอาจะขอตัวไปโทร.หาลูกชายหน่อยว่ามาเยี่ยมย่าเขาได้แล้ว โดนพี่บุษสั่งห้ามเยี่ยมเพราะกลัวความลับจะรั่ว เรื่องพี่ภัชบริจาคหัวใจน่ะ”

เมื่อนิรุตออกไปแล้ว เพลิงเข้าไปยืนข้างเตียงทองตรา พูดกับคุณย่าทั้งที่ยังไม่ได้สติว่า

“ถึงแม้ย่าจะเคยกีดกันความรักของพ่อกับแม่ผม แต่พ่อก็ไม่เคยโกรธแค้นย่า...ผมหวังว่าการที่ย่าได้หัวใจของพ่อไป มันจะทำให้ย่าอโหสิกรรมให้พ่อได้บ้าง เพราะผมเชื่อว่า ย่าคงรับรู้ถึงความรู้สึกของพ่อ...ผ่านหัวใจดวงนี้ของพ่อได้...ผมฝากหัวใจพ่อไว้กับย่าด้วย”

เพลิงกราบที่อกทองตรา มองดูอีกครู่หนึ่งจึงหันหลังจะออกไป

เจอน้ำฝนที่นัดอาณัติมาเยี่ยมทองตราเข้าพอดี น้ำฝนจำเพลิงได้มองเพลิงอย่างเหยียดหยามระแวง ถามว่ามาทำอะไร หรือมาขโมยของ เพลิงบอกว่าตนไม่ได้มาขโมยของ และไม่จำเป็นต้องบอกว่าเข้ามาทำอะไร

เพลิงจะเดินออกไป น้ำฝนโมโหที่ถูกว่ารีบตามไปเอาเรื่อง

ooooooo

น้ำฝนดูถูกเหยียดหยามยัดเยียดให้เพลิงเป็นขโมยให้ได้ ก้าวร้าวด่าไปถึงพ่อแม่ว่าสอนลูกให้เป็นโจร ทำให้เพลิงโกรธมาก ปรามน้ำฝนว่าอย่ามาก้าวร้าวถึงพ่อแม่ตน ถามน้ำฝนว่าอยากรู้มากใช่ไหมว่าตนเข้าไปในห้องนั้นทำไม พูดใส่หน้าน้ำฝนที่ตกใจกลัวความฉุนเฉียวของเขาว่า

“ผมบอกคุณก็ได้...ที่ผมเข้าไป เพราะพ่อผมที่ตายไป บริจาคหัวใจให้คุณหญิงทองตรา ผมแค่เข้าไปลาหัวใจของพ่อ ได้ยินแบบนี้แล้วพอใจรึยัง!”

เพลิงเดินผละไปด้วยสีหน้าเจ็บปวด ส่วนน้ำฝนฟังแล้วตะลึงอึ้ง ได้แต่มองตามเพลิงไปตาค้าง...

ออกจากห้องทองตราแล้ว เพลิงกลับไปหาผ่องที่นอนพักฟื้นอยู่ ผ่องถามถึงพ่อ เพลิงจำต้องปดแม่ว่าพ่อพักอยู่ที่นี่ เหมือนกัน แต่อย่าเพิ่งไปเยี่ยมเลย ไว้แม่หายดีกว่านี้แล้วจะพาไปหาพ่อ

ooooooo

นิรุตพาชนนท์มาเยี่ยมคุณย่าที่ยังไม่ฟื้น แต่เพียง ครู่เดียวชนนท์ก็เห็นทองตราขยับตัว เขาดีใจมากบอกพ่อว่าคุณย่าฟื้นแล้ว ชนนท์ถามว่าคุณย่าเจ็บแผลไหม นิรุตก็ขอว่าคุณแม่อย่าขยับตัวมากเพราะเพิ่งผ่าตัด

ทองตราจึงรู้ว่าตัวเองเพิ่งผ่าตัดและเปลี่ยนหัวใจที่มีคนมาบริจาค ทองตราถามถึงเจ้าของหัวใจดวงนั้น บุษกลรีบเข้ามากลบเกลื่อนว่าบอกไม่ได้เพราะเป็นความลับ เป็นจรรยาบรรณของแพทย์ ยังไงเจ้าของหัวใจก็ตายไปแล้วจะไปขอบคุณเขายังไง บุษกลหว่านล้อมโกหกเสียจนทองตราไม่ถามต่อ
จากนั้นบุษกลก็พาอาณัติกับน้ำฝนเข้าหาหมายให้ลูกชายมาเล่นละครขอโทษเพื่อให้คุณยายอภัยให้ ทองตราพูดคุยกับน้ำฝนแต่ไม่มองหน้าอาณัติ จนเมื่อน้ำฝนขอตัวไปโทร.เช็กว่าคุณพ่อคุณแม่มาถึงหรือยัง อาณัติได้จังหวะเข้าไปกราบขอโทษ ทำเป็นสำนึกผิด

“คุณแม่ยกโทษให้ตาณัติเถอะนะคะ เด็กๆเห็นยายไม่รักก็ต้องน้อยใจเป็นธรรมดา” บุษกลขออาณัติบีบน้ำตาอ้อนว่าถึงตนโตแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องการความรักจากคุณยาย ทำให้ทองตรายอมยกโทษให้ อาณัติโผเข้ากอดทองตราขอบคุณไม่ขาดปาก แอบสบตากับแม่ที่ตนเล่นละครได้แนบเนียนจนคุณยายหายโกรธ

ฝ่ายนิรุตไปรับชนนท์มาเยี่ยมแม่ ระหว่างทางได้เล่าเรื่องพิภัชพาครอบครับมาเยี่ยมคุณย่าแล้วประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแต่ย้ำกับชนนท์ว่าอย่าให้คุณย่ารู้เกรงจะสะเทือนใจ แล้วชวนไปเยี่ยมผ่องด้วยกัน

ขณะนั้นเองเพลิงเดินมา นิรุตจึงแนะนำเพลิงแก่ชนนท์ ชนนท์รู้สึกถูกชะตากับเพลิง เทียบกับอาณัติแล้วบ่นว่ามีพี่ชายอย่างอาณัติไม่มีจะดีเสียกว่า ถอนใจปรารภกับพ่อและเพลิงว่า

“นี่ก็ไม่รู้จะแสดงละครตบตา เล่นบทสำนึกผิดกับคุณย่าเนียนขนาดไหน”

ขณะนิรุต ชนนท์กับเพลิงยืนคุยกันนั่นเอง วินัย แม้นมาศและสิตาพ่อแม่และพี่สาวของน้ำฝนเดินมา นิรุตจึงแนะนำให้รู้จักกัน โดยเฉพาะกับเพลิงที่ไม่เคยรู้จักใครในแวดวงทางนี้

ไม่ทันไรน้ำฝนกับอาณัติก็มาถึง น้ำฝนเห็นเพลิงก็ชะงัก อาณัติไหว้ทักทายวินัยกับแม้นมาศแล้วมองเพลิงถามว่าพาใครมาด้วยหรือ ชนนท์เลยเป็นคนแนะนำว่า

“นี่พี่เพลิงเป็นลูกชายของลุงพิภัช ทายาทอันดับหนึ่งของชาตโยธิน”

“เพลิง...นี่อาณัติ ลูกชายคนโตของพี่บุษ แล้วนี่หนูน้ำฝนลูกสาวคนเล็กของคุณวินัยกับแม้นมาศ” นิรุตแนะนำอีกครอบครัวหนึ่ง เพลิงมองน้ำฝนกับอาณัติแล้วรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่

“ลูกชายของคุณลุงพิภัช...ถ้าอย่างนั้น...” น้ำฝนนึกลำดับญาติงงๆ

“ขอโทษนะครับ ผมต้องขอตัวกลับไปดูแม่ก่อน” เพลิงรีบตัดบทแล้วเดินออกไปเลย

ooooooo

เพลิงเข้าไปหาแม่ ถูกผ่องตัดพ้อต่อว่าที่ไม่พาไปเยี่ยมพ่อทั้งที่ตนรู้สึกตัวตั้งแต่เช้าแล้ว เพลิงพยายามหว่านล้อมให้รอก่อน ไม่กล้าบอกเรื่องสะเทือนใจให้แม่รู้

แต่แล้วความก็แตก เมื่อบุษกลพานาฎนรีทำทีเข้ามา เยี่ยมผ่องแล้วขอบอกขอบใจที่พิภัชอุทิศหัวใจให้แม่ ผ่องจึงรู้ว่าพิภัชจากไปแล้ว จากนั้นนาฎนรีก็แสดงบทบาทตามที่แม่สอน ย้ำกับเพลิงและผ่องว่าอย่าให้คุณยายรู้เรื่องนี้เดี๋ยวคุณยายจะเป็นอะไรไปอีก แล้วเจตนารมณ์ของลุงพิภัชที่จะไถ่โทษคุณยายก็จะไม่สำเร็จ

ระหว่างนั้นแม้เพลิงจะพยายามเปลี่ยนเรื่องกลบเกลื่อน แต่สองแม่ลูกก็พูดออกมาจนได้ ทำให้ผ่องเสียใจมาก เมื่อสองแม่ลูกกลับไปอย่างสะใจแล้ว เพลิงกราบขอโทษแม่ที่ตัวเองตัดสินใจตามลำพังโดยไม่ได้ปรึกษาแม่ เพราะคุณหญิงทองตราอาการแย่มากและตนก็สงสารพ่อ ไม่อยากให้พ่อต้องอยู่ในสภาพแบบนั้น

“แม่เข้าใจว่าเพลิงต้องใช้ความเข้มแข็งมากแค่ไหนถึงตัดสินใจเรื่องคอขาดบาดตายอย่างนั้นได้ ลูกเลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับพ่อกับคุณย่าแล้ว เพียงแต่แม่...แม่ยังทำใจไม่ได้ที่ต้องเสียพ่อไป...” ผ่องลูบหัวลูกน้ำตาอาบหน้า “ตอนนี้ เราก็เหลือกันสองคนแล้วนะลูก”

“แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลแม่เอง” เพลิงโผเข้ากอดแม่ไว้แน่น ต่างกอดและให้กำลังใจซึ่งกันและกันที่จะเข้มแข็งและต่อสู้ต่อไป

ooooooo

ขณะเพลิงไปรับยาให้แม่นั้นเจอสำอางจะมาเยี่ยมทองตราแต่ทำท่าจะเป็นลม เพลิงจึงอาสาพาไปส่ง ทองตราเห็นหลังเพลิงกำลังจะเดินออกไป ถามสำอางว่านั่นใครหรือ เพลิงชะงักหันมอง

สำอางบอกว่าเจอกันที่ทางเดิน ตนจะเป็นลมหลานชายเลยเดินมาส่ง ชมว่าช่างมีน้ำใจจริงๆ ทองตราถามว่าชื่ออะไร

“เพลิงครับ” เพลิงตัดสินใจบอกแล้วขอตัว ทองตราเห็นแววตาเพลิงแล้วสะดุดตาสะดุดใจ จะเรียกไว้เพลิงก็เดินไปแล้ว จึงให้สำอางไปตามบอกว่าตนอยากคุยกับเด็กคนนั้นอีกสักครั้ง

สำอางเดินย่องแย่งไปตามหาเพลิง เจอเพลิงกำลังเข็นรถพาผ่องออกจากห้อง สำอางจำผ่องได้ไม่กล้าเข้าไปทัก กลับไปก็บอกทองตราว่าตามหาเพลิงไม่เจอ แต่พูดให้ความหวังเป็นนัยว่า

“ถ้ามีบุญวาสนาต่อกัน อิฉันว่าเราอาจจะมีโอกาสเจอเขาอีกก็ได้นะเจ้าคะ”

ooooooo

ผ่องออกจากโรงพยาบาล สองแม่ลูกนำร่างของพิภัชกลับไปทำบุญฌาปนกิจที่ระยองที่ที่พิภัชรักและผูกพัน

หลินซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เถ้าแก่เฮงผู้เป็นพ่อสวนมา เห็นเพลิงก็บอกให้รีบย้อนและตามรถเพลิงไป จึงรู้ว่าเพลิงเอาร่างพ่อกลับมาที่ระยอง เฮงกับหลินแสดงความเสียใจกับเพลิงและผ่อง ช่วยงานอย่างเต็มกำลัง หลินเองก็ทุ่มเทบอกเพลิงให้ไปดูแลแม่เสีย ตนจะจัดการงานทางนี้เอง

ส่วนที่บ้านปางพญา นิรุตกับชนนท์จะไปงานศพของพิภัช ถามบุษกลว่าแน่ใจว่าจะไม่ไปด้วยใช่ไหม ทำให้สำอางที่แอบฟังอยู่รู้ว่าพิภัชเสียไปแล้ว

ระหว่างอยู่ในห้องอาหารนั้น สำอางยังแอบได้ยินบุษกลคุยกับนิรุตว่า

“ฉันไม่ไปให้พวกนั้นมันมาไถตลอดหรอก ยิ่งไม่มีพี่ภัชให้เกาะแล้ว ฉันว่าแม่ลูกคู่นั้นต้องคว้าทุกอย่างเท่าที่มันจะคว้าได้แน่ๆ”

“พี่ผ่องกับเพลิงก็มีสิทธิ์จะทำอย่างนั้นได้ไม่ใช่เหรอครับ เพราะเขาก็เป็นชาตโยธินเหมือนกัน”

“ฉันไม่นับพวกนั้นร่วมสาแหรกด้วยหรอกนะตารุต แล้วแกก็ไม่ต้องไปห่วงใยมันมากนัก เดี๋ยวได้ใจขอตามมาอยู่กันเสียที่นี่ได้เดือดร้อนกันแน่”

ชนนท์ได้ฟังฉุกคิดขึ้นได้ แกล้งพูด “ให้พี่เพลิงมาอยู่ที่นี่เหรอ น่าสนใจนะครับพ่อ” พูดแล้วเดินออกไป นิรุตเหมือนคิดอะไรได้เดินตามชนนท์ไปติดๆ

สำอางออกจากที่ซ่อน มองตามนิรุตกับชนนท์ไปด้วยสีหน้าตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน

ooooooo

ที่มา ไทยรัฐ

No comments:

Post a Comment